ค้นหา
  
Search Engine Optimization Services (SEO)

ปืนเอ็ม 16

เอ็ม 16 เป็นชื่อทางราชการของอาวุธปืนเล็กยาวจู่โจมประจำกายที่ทางกระทรวงกลาโหม (United States Department of Defense; US DOD) ประเทศสหรัฐอเมริกากำหนดขึ้น ภายหลังการรับปืน AR-15 ขนาด 5.56 มม. ที่ออกแบบโดยยูจีน สโตนเนอร์ (Eugene Stoner) วิศวกรของบริษัทอาร์มาไลท์ (ArmaLite) เมื่อ ค.ศ. 1957 มาพิจารณาในโครงการ Project SALVO เพื่อจัดหาอาวุธประจำกายรุ่นใหม่ และเข้าประจำการในกองทัพอากาศและกองทัพบกของสหรัฐอเมริกาเมื่อ ค.ศ. 1960 และ ค.ศ. 1967 ตามลำดับ แทนปืนเล็กยาว M14 ซึ่งใช้กระสุนขนาด 7.62x51 มม. นาโต และเป็นอาวุธปืนที่ใช้กันแพร่หลายในกลุ่มประเทศสมาชิกองค์การ NATO และนานาประเทศที่ได้รับความช่วยเหลือทางทหารจากสหรัฐฯในช่วงสงครามเย็นมาจนถึงปัจจุบัน

ปืน M16 เป็นอาวุธปืนที่มีน้ำหนักเบา ใช้ระบบการทำงานด้วยแรงดันก๊าซ (Gas-operated) ระบายความร้อนด้วยอากาศ ขัดกลอนด้วยลูกเลื่อนหมุนตัว (Rotating Bolt) และปลดกลอนด้วยการใช้แรงดันก๊าซดันเข้าห้องลูกเลื่อนโดยตรง (Direct Impingement) บรรจุกระสุนด้วยซองกระสุน โดยชิ้นส่วนต่างๆของปืนผลิตขึ้นจากวัสดุโลหะจำพวกเหล็ก อะลูมิเนียม และพลาสติก

นับแต่ประเทศสหรัฐอเมริกาประกาศเอกราชจากประเทศอังกฤษได้สำเร็จ กองทัพสหรัฐฯได้ประจำการปืนเล็กยาวแบบคาบศิลาเป็นจำนวนมากจนเมื่อล่วงเข้าสู่ยุคของกระสุนแบบปลอกโลหะและดินควันน้อย กองทัพสหรัฐฯจึงได้ทยอยเปลี่ยนจากปืนคาบศิลามาเป็นปืนเล็กยาวที่ใช้กระสุนแบบนัดทั้งหมด โดยได้เลือกประจำการปืนเล็กยาวขนาด .30 นิ้วมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1892 ปืนเล็กยาวรุ่นแรกที่ประจำการ คือ ปืน Krag-J?rgensen ขนาด .30-40 Krag ของประเทศนอร์เวย์ ซึ่งเป็นเล็กยาวแบบกระชากลูกเลื่อนด้วยมือ แต่เนื่องจากปืนรุ่นนี้มีปัญหาหลายประการ ภายหลังกองทัพสหรัฐฯจึงได้ซื้อสิทธิบัตรปืนเล็กยาว Gewehr 98 จากบริษัทเมาเซอร์ ประเทศเยอรมนี พร้อมทั้งนำระบบดึงขึ้นเข็มแทงชนวนของปืน Krag มาติดตั้งเพิ่มเข้าไปและผลิตเป็นปืน M1903 Springfield และได้นำกระสุนขนาด 8 มม. เมาเซอร์ (7.92?57 มม.) มาทำการดัดแปลงให้ใช้กับหัวกระสุนขนาด .30 นิ้ว (7.62 มิลลิเมตร) เดิมของปืน Krag ต่อไป พร้อมทั้งยืดปลอกออกเป็น 63 มิลลิเมตรทำให้บรรจุดินส่งได้มากขึ้นและเรียกว่ากระสุนใหม่นี้ว่า .30-06 Springfield (7.62?63 มม.)

ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง กองทัพฯสหรัฐฯได้เริ่มทยอยโอนปืน M1903 Springfield ไปให้กองกำลังท้องถิ่นและบางส่วนได้นำมาดัดแปลงเป็นปืนเล็กยาวซุ่มยิง M1903A4 ใช้ในสงครามโลกครั้งที่ 2 จนถึงสงครามเกาหลี ในขณะเดียวกันก็ได้ทยอยบรรจุปืนเล็กยาวบรรจุเอง M1 Garand เข้าประจำการ โดยปืน M1 Garand ออกแบบโดยจอห์น ซี กาแรนด์ ซึ่งในช่วงแรกออกแบบให้ใช้กับกระสุนขนาด 7?51 มิลลิเมตร (.276 Pedersen) และสามารถบรรจุในแนบกระสุนได้ 10 นัด แต่เมื่อกองทัพสหรัฐฯรับมาพิจารณาใน ค.ศ.1932 ก็มีคำสั่งให้เปลี่ยนมาใช้กระสุน .30-06 ทำให้ปืนบรรจุกระสุนได้เพียง 8 นัด และรับเข้าประจำการเมื่อวันที่ 6 มกราคม ค.ศ. 1936 ให้ชื่อเป็นทางการว่า United States Rifle, Caliber .30, M1 และใช้งานมาจนถึงสงครามเกาหลี โดยในระหว่างที่ปืน M1 Garand ประจำการนี้ กองทัพสหรัฐฯก็ได้มีโครงการ T20 ทำการดัดแปลงปืน M1 Garand ให้บรรจุกระสุนได้มากขึ้นโดยใช้ซองกระสุน 20 นัดของปืนเล็กกล M1918 Browning Automatic Rifle (BAR) และทำการเพิ่มระบบยิงแบบอัตโนมัติเข้าไปกลายเป็นโครงการ T37

ภายหลังสงครามโลกครั้งที่สอง ได้มีการวิจัยดินขับแบบใหม่สำเร็จ จนสามารถใช้ในปริมาณน้อยลงแต่ให้แรงขับเท่าเดิม กองทัพสหรัฐฯจึงได้นำกระสุน .30-06 มาทำการลดความยาวปลอกจาก 63 มิลลิเมตรลงเป็น 51 มิลลิเมตร เพื่อนำไปใช้กับปืนในโครงการ T37 กลายเป็นโครงการ T44 แล้วในที่สุดก็ประจำการเป็นปืน M14 และ M15 ในปี ค.ศ. 1957 ส่วนกระสุน 7.62 มิลลิเมตรของปืน M14 ก็กลายเป็นกระสุน 7.62?51 มม. นาโต ซึ่งเป็นกระสุนมาตรฐานของปืนกลและปืนเล็กยาวหลายรุ่นในปัจจุบัน นอกจากนั้นบริษัทวินเชสเตอร์ยังได้นำกระสุน 7.62 มม. นาโตนี้ไปผลิตขายให้พลเรือนในชื่อว่า .308 Winchester อีกด้วย

หลังจากปืน M14 ประจำการได้ไม่นาน ก็มีคำวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับปืนดังกล่าว ทั้งปัญหาเรื่องตัวปืนและกระสุนมีน้ำหนักมากทำให้ทหารพกพาไปได้น้อย อีกทั้งมีปัญหาเรื่องแรงสะท้อนถอยหลังสูง โดยเฉพาะเมื่อยิงแบบอัตโนมัติจะไม่สามารถควบคุมปืนได้เลย ทำให้ปืน M14 มีอายุการใช้งานได้ไม่นาน ในขณะเดียวกันก็ทำให้โครงการวิจัยปืนเล็กยาวที่ใช้กระสุนขนาดหน้าตัดเล็กแต่มีความเร็วสูงที่ตั้งมาก่อนหน้านั้นมีความชัดเจนมากขึ้น ซึ่งโครงการนี้มีชื่อว่า Project SALVO ตั้งขึ้นมาแต่ ค.ศ. 1948 โดยมีวัตถุประสงค์ที่จะสร้างอาวุธประจำกายทหารราบที่ใช้กระสุนขนาด .22 ความเร็วสูง มีระยะหวังผล 300 เมตรขึ้นไป ภายหลังจึงได้มีข้อกำหนดเพิ่มเติมว่าต้องมีน้ำหนักเบา เลือกยิงได้ทั้งแบบทีละนัดและยิงเป็นชุด และต้องยิงเจาะหมวกเหล็กได้ในระยะ 500 เมตร

ใน ค.ศ. 1957 บริษัทอาร์มาไลท์ (Armalite) ซึ่งเป็นแผนกอาวุธปืนของบริษัท Fairchild Aircraft Corp. ได้เข้าร่วมโครงการนี้โดย ยูจีน สโตนเนอร์ ได้นำแบบปืน AR-10 ขนาด 7.62 มิลลิเมตรมาย่อส่วนเป็นปืน AR-15 เพื่อใช้กับกระสุน .223 เรมิงตัน ซึ่งพัฒนาโดยบริษัทเรมิงตัน อาร์มส์ ประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งได้รับมอบหมายจากกองทัพสหรัฐฯให้ออกแบบและวิจัยกระสุนชนิดใหม่ ที่จะนำมาใช้กับปืนเล็กยาวจู่โจมในโครงการ SALVO นี้ และกองทัพสหรัฐฯได้รับแบบปืน AR-15 มาพิจารณา

ใน ค.ศ. 1958 บริษัทอาร์มาไลท์ได้รับคำวิจารณ์และคำสั่งแก้ไขปืน AR-15 จากทางกองทัพสหรัฐฯหลายครั้ง จนถอดใจและประสบปัญหาทางการเงิน จึงได้ตัดสินใจขายแบบพิมพ์เขียวปืน AR-15 ให้แก่บริษัทโคลต์ (Colt Firearms) และได้รับการพัฒนาปรับปรุงจนเป็นปืน M16 และเข้าประจำการในกองทัพอากาศสหรัฐฯในปี ค.ศ.1964

ส่วนทางกองทัพบกสหรัฐฯก็ได้นำปืน M16 ไปพัฒนาต่อเป็นปืน XM16E1 ซึ่งได้มีการเปลี่ยนปลอกลดแสง เพิ่มชุดส่งลูกเลื่อน (Forward Assist Assembly) และเพิ่มอัตราครบรอบเกลียวให้เร็วขึ้นจาก 14 นิ้วเป็น 12 นิ้ว เพื่อรองรับการใช้กระสุนส่องวิถี M196 ที่มีหัวกระสุนยาวกว่ากระสุนธรรมดาแบบ M193 และเข้าประจำการในกองทัพบกสหรัฐฯพร้อมทั้งเรียกชื่อใหม่ว่า ""US Rifle, 5.56mm, M16A1" ในปีค.ศ. 1967 และยังมีการเปิดสายการผลิตปืน M16 ในรูปแบบอื่นๆ ที่คล้ายคลึงกันในอีกหลายประเทศทั่วโลก

ต่อมาในปีค.ศ. 1981 บริษัทโคลต์จึงได้พัฒนาและปรับปรุงปืน M16A1 จนออกมาเป็นปืน M16A1E1 เพื่อรองรับกระสุนขนาด 5.56x45 mm. NATO รุ่นใหม่คือกระสุน M855 หรือ SS-109 ของบริษัท FN ซึ่งมีความแม่นยำและอานุภาพมากกว่าเดิม จนในปีค.ศ. 1982 หน่วย US Department of Defense (US DoD)จึงได้บรรจุปืน M16 รุ่นนี้เข้าประจำการและเรียกในชื่อใหม่ว่า "US Rifle, 5.56mm, M16A2" ซึ่งปืน M16A2 นี้สามารถยิงได้เพียง 2 รูปแบบ คือ แบบกึ่งอัตโนมัติ (Semi-Auto) ครั้งละ 1 นัด/ครั้ง และแบบอัตโนมัติชุดละ 3 นัด (Burst Auto) โดยมีคันบังคับการยิงให้จัดเลือกอยู่ทางด้านซ้ายเหนือด้ามปืน ซึ่งต่างจากปืน M16A1 ตรงที่แบบอัตโนมัติของรุ่น A1 จะเป็นแบบอัตโนมัติเต็มตัว (Full-Auto) กล่าวคือปืนจะทำการยิงตามวงรอบการทำงานไปเรื่อยๆจนกว่าผู้ยิงจะเลิกเหนี่ยวไกปืนหรือจนกว่ากระสุนจะหมดซองกระสุน มิใช่ยิงเป็นชุดเพียง 3 นัดเท่านั้น ไม่ว่าผู้ยิงจะเหนี่ยวไกค้างไว้หรือไม่ก็ตาม

ในปีค.ศ. 1994 ทางบริษัทโคลต์ได้มีการปรับปรุงสมรรถภาพของปืน M16A2 อีกครั้งเป็นรุ่น A3 และ A4 ตามลำดับ โดยปืน M16A3 นั้นสามารถยิงได้สองโหมดคือ ยิงทีละนัด (Semi-Auto) และยิงอัตโนมัติเต็มตัว (Full-Auto) เท่านั้น ส่วนปืน M16A4 นั้นจะยิงได้สองโหมดนี้คือ โหมดยิงทีละนัด (Semi-Auto) และแบบอัตโนมัติชุดละ3นัด (Three-Burst Auto) โดยรุ่น A4 มีลักษณะภายนอกคล้ายกับ A2 และ A3 ทุกประการ เพียงแต่สามารถถอดด้ามหูหิ้ว (Flat Top Receiver) ออกเพื่อใช้ราง Picatinny ในการติดตั้งอุปกรณ์เสริมต่างๆได้ ในขณะที่รุ่น A2 และ A3 จะเป็นแบบติดตั้งตายตัว

ในช่วงทศวรรษ 1980 ปืนกลเบา M60 จะถูกแทนที่ด้วยปืนกล SAW M249 ซึ่งใช้กระสุนขนาด 5.56x45 mm. NATO รุ่น M855 เช่นเดียวกับปืน M16A2 เพื่อเพิ่มอานุภาพของอาวุธและลดภาระในการจัดส่งกระสุนและส่งกำลังบำรุงเข้าสู่สนามรบของหน่วยพลาธิการ ครั้นถึงทศวรรษ 1990 ปืน M16A2 จำนวนมากเริ่มถูกแทนที่ด้วยปืน M4 Carbine ซึ่งปรับปรุงมาจากปืน M16 เพื่อเพิ่มสมรรถนะและความคล่องตัวกับการรบในที่แคบหรือในอาคารต่างๆ

ชิ้นส่วนต่างๆของปืน M16 ผลิตขึ้นจากกรรมวิธีต่างๆดังนี้ ปลอกลดแสง ลำกล้อง โครงปืน และชิ้นส่วนในระบบลั่นไกผลิตด้วยวิธีการขึ้นรูปด้วยกระบวนการ Forging จากวัสดุเหล็กกล้าผสมอะลูมิเนียม เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการระบายความร้อนและมีความทนทานใช้งานสูง ส่วนพานท้ายและฝาครอบลำกล้องทำจากวัสดุโพลิเมอร์ไฟเบอร์ทนความร้อน ทำให้ปืน M16 รุ่นแรกๆ นั้นมีน้ำหนักเบาเพียง 3.60 กิโลกรัมเท่านั้น (น้ำหนักปืนพร้อมซองกระสุนขนาด 30 นัด) ซึ่งเบากว่าปืนเล็กยาวจู่โจมรุ่นก่อนๆอย่างปืน M14 ในขณะที่ปืนอาก้า (AK-47) ซึ่งเป็นที่นิยมกันในกลุ่มประเทศคอมมิวนิสต์เวลานั้นมีน้ำหนักมากถึง 4.30 กิโลกรัม แต่ปืน M16 รุ่นหลังจะมีน้ำหนักเพิ่มขึ้น 3.77 กิโลกรัมจากการออกแบบให้ลำกล้องและโครงปืนมีความหนามากขึ้นเพื่อรองรับการใช้งานกระสุน 5.56 มม.แบบใหม่คือ กระสุนแบบ M855 หรือ SS-109 จึงทำให้มีน้ำหนักมากตามไปด้วย มีความยาวของปืนทั้งกระบอกเพิ่มเป็น 40 นิ้ว (1.06 เมตร) โดยเป็นความยาวส่วนลำกล้อง 20 นิ้ว (508 มิลลิเมตร)

อนึ่ง ปืน M16/M4 นั้นสามารถเพิ่มสมรรถนะด้วยการติดตั้งอุปกรณ์เสริม เช่น เครื่องยิงลูกระเบิดขนาด 40 มม. M203, กล้องเล็งจุดแดง (Red Dot), ขาทราย (Bi-pod) ฯลฯ เป็นต้น


 

 

รับจำนำรถยนต์ รับจำนำรถจอด

ลีโอ กาเมซ ดัสติน ฮอฟฟ์แมน จักรพรรดินีมารีเยีย อะเลคซันโดรฟนาแห่งรัสเซีย โอลิมปิก 2008 กีฬามหาวิทยาลัยโลกฤดูร้อน ครั้งที่ 24 การก่อการกำเริบ 8888 วิทยาลัยเทคนิคภาคพายัพ ยุทธการแห่งบริเตน บีเซนเต เดล โบสเก โคเซ มานวยล์ เรย์นา เคซุส นาบัส คาบี มาร์ตีเนซ เฟร์นันโด โยเรนเต เปโดร โรดรีเกซ เลเดสมา เซร์คีโอ ราโมส ควน มานวยล์ มาตา บิกตอร์ บัลเดส ชูอัน กัปเดบีลา ชาบี ดาบิด บียา อันเดรส อีเนียสตา การ์เลส ปูยอล ราอุล อัลบีออล กัปตัน (ฟุตบอล) อีเกร์ กาซียัส สโมสรฟุตบอลบียาร์เรอัล 2000 Summer Olympics Football at the Summer Olympics Spain national football team Valencia CF S.L. Benfica Sevilla FC Villarreal CF Midfielder Defender (association football) เนวิลล์ ลองบัตท่อม เจ.เค. โรว์ลิ่ง แฮร์รี่ พอตเตอร์ (ตัวละคร) บ็อบบี ร็อบสัน สมเด็จพระราชาธิบดีโบดวงแห่งเบลเยียม แอนดรูว์ จอห์นสัน อิกเนเชียสแห่งโลโยลา เจ. เค. โรว์ลิ่ง เวสลีย์ สไนปส์ ฟิลิปที่ 3 ดยุกแห่งเบอร์กันดี ยอดเขาเคทู สมาคมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ Munhwa Broadcasting Corporation โจ อินซุง ควอน ซัง วู ยุน อึนเฮ รักวุ่นวายของเจ้าชายกาแฟ อุซึมากิ คุชินะ มาเอดะ อัตสึโกะ คิม ฮีชอล เจสสิก้า ซิมพ์สัน จาง เซี๊ยะโหย่ว พิภพ ธงไชย วิมล ศิริไพบูลย์ มหาธีร์ โมฮัมหมัด บอริส เยลซิน ออกแลนด์ เรนโบว์วอริเออร์ ฝ่ายพันธมิตร เด่น จุลพันธ์ เคอิทาโร โฮชิโน แมนนี่ เมลชอร์ ผู้ฝึกสอน ไมเคิล โดมิงโก ก. สุรางคนางค์ นิโคล เทริโอ ซีเนอดีน ซีดาน เริ่น เสียนฉี โจเซฟีน เดอ โบอาร์เนส์ โอดะ โนบุนากะ แยกราชประสงค์ แคชเมียร์ วีโต้ แอฟริกัน-อเมริกัน Rolling Stone People (magazine) TV Guide อินสตาแกรม Obi-Wan Kenobi Saturday Night Live The Lego Movie Jurassic World Guardians of the Galaxy (film) Her (film) แอนนา ฟาริส จอมโจรอัจฉริยะ จอมโจรคิด ตัวละครในฮายาเตะ พ่อบ้านประจัญบาน ตัวละครในฮายาเตะ พ่อบ้านประจัญบาน ลุยจี กอนซากา ครีษมายัน เจริญ วัดอักษร อลิซ บราวน์ อินิโก โจนส์ กาแอล กากูตา

 

1
2
3
4
5
6
7
8
9
10
11
12
13
14
15
16
17
18
19
20
21
22
23
24
25
26
27
28
29
30
31
32
33
34
35
36
37
38
39
40
41
42
43
44
45
46
47
48
49
50
51
52
53
54
55
56
57
58
59
60
61
62
63
64
65
66
67
68
69
70
71
72
73
74
75
76
77
78
79
80
81
82
83
84
85
86
87
88
89
90
91
92
93
94
95
96
97
98
99
100
101
102
103
104
105
106
107
108
109
110
111
112
113
114
115
116
117
118
119
120
121
122
123
124
125
126
127
128
129
130
131
132
133
134
135
136
137
138
139
140
141
142
143
144
145
146
147
148
149
150
151
152
153
154
155
156
157
158
159
160
161
162
163
164
165
166
167
168
169
170
171
172
173
174
175
176
177
178
179
180
181
182
183
184
185
186
187
188
189
190
191
192
193
194
195
196
197
198
199
200
201
202
203
204
205
206
207
208
209
210
211
212
213
214
215
216
217
218
219
220
221
222
223
224
225
226
227
228
229
230
231
232
เลขมงคล รถยนต์ ทะเบียน ทะเบียนรถ เงินด่วน รับจำนำรถยนต์ จำนำรถยนต์ จำนำรถ 23180